ผลงานล่าสุดของผู้กำกับ กีเยร์โม เดล โตโร ที่เขารอคอยมากว่าสองทศวรรษ กลายเป็นภาพยนตร์กอธิคไซไฟ–ดราม่าเรื่อง Frankenstein แฟรงเกนสไตน์ (2025) ที่สร้างจากนวนิยายคลาสสิกของ Mary Shelley หนังเริ่มต้นในอาร์กติก บอกเล่าการไล่ล่าระหว่างผู้สร้างและสิ่งที่ถูกสร้าง ก่อนดึงเราให้เข้าสู่การ ดูหนัง ในยุควิกตอเรียนปี 1857 หนังไม่ได้พยายามขายความสยองแบบฉบับเก่า แต่กลับใช้ความเงียบ การมองตา และบทสนทนาสั้นๆ แทนการตะโกน ระหว่างผู้สร้างและสิ่งที่ถูกสร้าง เกิดเป็นความสัมพันธ์ที่ทั้งซับซ้อนและเจ็บปวด เพราะสิ่งมีชีวิตนั้นไม่ได้อยากฆ่า แต่มันเพียง “อยากมีที่ให้ยืนในโลกนี้” เดล โตโร ยังคงพิถีพิถันทุกองค์ประกอบ ทั้งงานศิลป์ เสื้อผ้า ดนตรีประกอบ และจังหวะการเล่าเรื่องที่ไหลลื่นราวกับบทกวี มันคือความงามในความโหดร้าย และคือการตั้งคำถามเชิงศีลธรรมอย่างลึกซึ้ง ว่ามนุษย์ควรไปไกลถึงไหนในความทะเยอทะยานของตนเอง
นักแสดง/นำแสดงโดย
- ออสการ์ ไอแซค รับบทเป็น วิกเตอร์ แฟรงเกนสไตน์
- เจคอบ เอลอร์ดี รับบทเป็น The Creature
- เฟลิกซ์ คัมเมอเรอร์ รับบทเป็น วิลเลียม แฟรงเกนสไตน์
- มีอา กอธ รับบทเป็น เอลิซาเบธ ฮาร์แลนเดอร์
- ลาร์ส มิคเคลเซ่น รับบทเป็น กัปตันแอนเดอร์สัน
- ชาร์ลส์ แดนซ์ รับบทเป็น ลีโอโพลด์ แฟรงเกนสไตน์
- คริสตอฟ วอลซ์ รับบทเป็น เฮนริช ฮาร์แลนเดอร์

อ่านเรื่องย่อของ Frankenstein แฟรงเกนสไตน์
เมื่อเรือของกองทัพเรือเดนมาร์กเดินทางสำรวจที่ขั้วโลกเหนือ แล้วค้นพบ วิกเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ ที่บาดเจ็บราวกับถูกอะไรบางอย่างตามล่ามา วิกเตอร์เล่าเรื่องชีวิตของเขา ตั้งแต่วัยเด็ก ที่ต้องสูญเสียแม่ขณะคลอดน้องชาย, ถูกพ่อซึ่งเป็นแพทย์ผู้มีชื่อเสียงกดดัน, จนเขาตัดสินใจเป็นแพทย์ผู้ทรงวิทยาการ และท้ายที่สุดก็ค้นพบวิธี “ปลุกชีพ” ศพให้กลับมีชีวิตได้

แต่ผลของการเล่นเป็นเทพเจ้าไม่ราบรื่น สิ่งที่ วิกเตอร์สร้างขึ้นกลับกลายเป็น “สิ่งมีชีวิต / สิ่งที่ผิดปกติ” ที่ทำลายชีวิตผู้คนรอบข้าง ทั้งความสัมพันธ์ ครอบครัว และความเป็นมนุษย์ของเขาเอง ในตอนท้ายของเรื่อง Creature ไม่ได้ถูกทำลาย แต่เลือกเดินทางไปยังแดนอันไกลโพ้นอย่างสงบ โดยเป็นการยุติความสัมพันธ์กับวิกเตอร์ ที่เต็มไปด้วยความผิดและการให้อภัย

ดูหนัง รีวิวหนัง Frankenstein แฟรงเกนสไตน์
Frankenstein (2025) ไม่ได้เป็นเพียงการเล่าเรื่อง “ปีศาจของนักวิทยาศาสตร์” แบบเดิม แต่เป็นการตีความใหม่ที่กล้าและลึกซึ้งกว่าฉบับใด ๆ ที่ผ่านมา หนังของ กีเยร์โม เดล โตโร นำโครงเรื่องดั้งเดิมของ Mary Shelley มาตีความในโลกอนาคตที่เต็มไปด้วยปัญญาประดิษฐ์ ชีววิทยาสังเคราะห์ และการตั้งคำถามว่า มนุษย์มีสิทธิ์แค่ไหนในการสร้างชีวิต? บทหนังมีความเป็นกวี เต็มไปด้วยการเปรียบเปรยระหว่าง การสร้างชีวิตกับการสูญเสียมนุษยธรรม ซึ่งบางช่วงใช้ภาษาภาพยนตร์มากกว่าคำพูด สะท้อนการทำงานของผู้กำกับที่ให้ความสำคัญกับความรู้สึกมากกว่าเหตุผล แนวทางเดียวกับผลงานศิลปะร่วมสมัย ดูหนัง ที่ถ่ายทำด้วยโทนสีเย็น แสงสลัว และมุมกล้องที่เน้นความโดดเดี่ยวของตัวละคร

ผสมผสานระหว่าง โกธิกคลาสสิก กับโลกอนาคตแบบไซเบอร์-รีโทร ทุกเฟรมให้ความรู้สึกเหมือนภาพวาดของความโดดเดี่ยวในยุคดิจิทัล ดนตรีของหนังใช้เครื่องสายและเสียงสังเคราะห์ผสมกัน ทำให้เกิดบรรยากาศระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักรอย่างลงตัว ธีมหลักของหนังมีลักษณะเศร้าสร้อย ล่องลอย แต่ยังคงความยิ่งใหญ่ในระดับดราม่าแนววิทยาศาสตร์ เสียงประกอบที่ค่อย ๆ แทรกในจังหวะที่ตัวละครรู้สึก “มีชีวิต” หรือ “ตายอีกครั้ง” คือหนึ่งในจุดเด่นที่ทำให้ผู้ชมอินกับความรู้สึกของสิ่งมีชีวิตในหนัง Frankenstein แฟรงเกนสไตน์ คือการปลุกชีวิตให้กับตำนานที่โลกไม่เคยลืม ผ่านมุมมองของผู้หญิงผู้กำกับที่ตีความด้วยความเข้าใจในจิตวิญญาณของเรื่อง ไม่ใช่หนังสยองขวัญ แต่คือบทกวีแห่งความเจ็บปวดของการเป็นมนุษย์ เป็นหนึ่งในผลงานที่ควรค่าแก่การดูบนจอใหญ่ เพื่อสัมผัสภาพ เสียง และอารมณ์ที่ซับซ้อนอย่างแท้จริง ในเวอร์ชัน 2025 ถามคำถามใหญ่กับคนดูว่า มนุษย์ยังเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่ หากเราควบคุมชีวิตได้ดั่งพระเจ้า หนังไม่ได้ชี้ชัดว่าฝ่ายใดผิดหรือถูก แต่เปิดพื้นที่ให้ผู้ชมตีความ ว่าสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างอาจเป็นกระจกสะท้อนจิตใจมนุษย์ มากกว่าจะเป็นปีศาจจริง ๆ นี่คือหนังที่สะท้อนสังคมปัจจุบันได้อย่างเจ็บแสบ ทั้งในด้านเทคโนโลยีที่กำลังแทนที่ความรู้สึก และจริยธรรมที่ถูกเบียดออกโดยความทะเยอทะยาน

Leave a Reply